คิม จ็อง-อิล (เกาหลี: ???, ฮันจา: ???, MC: Kim Ch?ngil, MR: Gim Jeong(-)il) มีชื่อเมื่อแรกเกิดว่า ยูริ อีร์เซโนวิช คิม/???? ????????? ??? (ตามบันทึกโซเวียต) (16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941/2 – 17 ธันวาคม ค.ศ. 2011) อดีตผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) เขาเป็นเลขาธิการพรรคกรรมกรเกาหลี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลตั้งแต่ ค.ศ. 1948, ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศแห่งเกาหลีเหนือ และผู้บัญชาการกองทัพประชาชนเกาหลีสูงสุด ซึ่งเป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสี่ของโลก
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกาหลีเหนือโดยเรียกเขาว่าเป็น "ผู้นำสูงสุด" โดยปริยาย เขายังถูกเรียกว่า "บิดาที่รัก", "บิดาของเรา" "นายพล" และ "จอมทัพ" บุตรชาย คิม จองอึนได้รับเลื่อนเป็นตำแหน่งระดับสูงในพรรคกรรมกรและถูกวางตัวเป็นทายาท ใน ค.ศ. 2010 เขาถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 31 ของบุคคลทรงอำนาจที่สุดของโลก รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศการถึงแก่อสัญกรรมของเขาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2011
รายละเอียดเกี่ยวกับการเกิดของคิม จ็อง-อิลแตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูล บันทึกโซเวียตแสดงให้เห็นว่าเขาเกิดในหมู่บ้านวยัตสโคเย (Vyatskoye) ดินแดนฮาบารอฟสค์ (Khabarovsk) สหภาพโซเวียต เมื่อค.ศ. 1941 มีชื่อเมื่อแรกเกิดว่า ยูริ อีร์เซโนวิช คิม (Yuri Irsenovich Kim; รัสเซีย: ???? ????????? ???) เป็นบุตรชายคนโตคนแรกของนายคิม อิล-ซ็อง (เกาหลี: ???) กับนางคิม จ็อง-ซุก (เกาหลี: ???) คิม อิล-ซ็อง ผู้เป็นบิดา ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพันที่ 1 แห่งกองพลน้อยโซเวียตที่ 88 อันประกอบด้วยชาวจีนและเกาหลีพลัดถิ่น แห่งกองทัพแดง (Red Army) ของสหภาพโซเวียต เพื่อต่อสู้กับการรุกรานแมนจูเรียของจักรวรรดิญี่ปุ่น ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 (Second Sino-Japanese War) คิม จ็อง-อิล มีน้องชายมารดาเดียวกันอีกหนึ่งคนคือ คิม มัน-อิล (เกาหลี: ???) หรือ คิม ชูรา (Kim Sura; เกาหลี: ???) เกิดเมื่อปีค.ศ. 1944 และน้องสาวหนึ่งคนคือ คิม กยอง-ฮี (เกาหลี: ???)
ชีวประวัติอย่างเป็นทางการของคิม จ็อง-อิล ซึ่งแต่งโดยรัฐบาลเกาหลีเหนือในสมัยต่อมา ระบุว่าเขาเกิดในค่ายทหารลับบนภูเขาแพกตู (Baekdu Mountains) ในเกาหลีของญี่ปุ่น จังหวัดรยังกัง ประเทศเกาหลีเหนือในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 นักชีวประวัติทางการอ้างว่า การเกิดของเขาที่ภูเขาแพกตูมีลางบอกเหตุเป็นนกนางแอ่น และป่าวประกาศโดยปรากฏขึ้นของรุ้งกินน้ำสองสายเหนือยอดเขาและดาวดวงใหม่ในสรวงสวรรค์
ใน ค.ศ. 1945 ขณะที่คิมอายุได้สามหรือสี่ปี (ตามปีเกิดของเขา) เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงและเกาหลีได้รับเอกราชคืนจากญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง บิดาของเขากลับไปยังเปียงยางในเดือนกันยายนปีนั้นเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของเกาหลีเหนือ และปลายเดือนพฤศจิกายน คิม จ็อง-อิล จึงได้เดินทางกลับสู่เกาหลีตามบิดาของตนโดยเรือโซเวียต ซึ่งขึ้นฝั่งที่ซอนบอง ครอบครัวย้ายเข้าไปในบ้านพักของอดีตเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น พร้อมกับสวนและสระน้ำ น้องชายของคิม จ็อง-อิล "ชูรา" คิม (คิม พยองอิล แต่รู้จักโดยชื่อเล่นภาษารัสเซียของเขา) จมน้ำที่นั่นใน ค.ศ. 1948 รายงานไม่ยืนยันแนะว่า คิม จ็อง-อิลวัยห้าขวบอาจเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุนั้น นางคิม จ็อง-ซุก มารดาของคิม จ็อง-อิล เสียชีวิตจากการคลอดบุตรคนที่สี่ เมื่อค.ศ. 1949 รายงานไม่ยืนยันระบุว่า มารดาของเขาอาจถูกยิงและถูกทิ้งให้เลือดไหลจนเสียชีวิต
ตามชีวประวัติอย่างเป็นทางการ คิมสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานระหว่างเดือนกันยายน ค.ศ. 1950 และสิงหาคม ค.ศ. 1960 ในกรุงเปียงยาง ซึ่งขัดแย้งกับนักวิชาการต่างชาติ ซึ่งเชื่อว่าเขาน่าจะได้รับการศึกษาช่วงต้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนมากกว่า เพื่อประกันความปลอดภัยของเขาระหว่างสงครามเกาหลี
ตลอดการศึกษาในโรงเรียน คิมเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่เสมอ เขาเข้าร่วมในสหภาพเด็ก และสันนิบาติเยาวชนประชาธิปไตยแห่งเกาหลีเหนือ เข้าร่วมในกลุ่มศึกษาทฤษฎีการเมืองมากซิสต์และวรรณกรรมอื่น ๆ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1957 เขาเป็นรองประธานสาขาสันนิบาติเยาวชนประชาธิปไตยของโรงเรียนมัธยมต้น เขาดำเนินตามโครงการต่อต้านการถือพวกพ้องและพยายามกระตุ้นการศึกษาอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นของเขา
คิมยังกล่าวกันว่าได้รับการศึกษาภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยมอลตาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 ช่วงวันหยุดที่ไม่บ่อยครั้งนักในมอลตาในฐานะแขกของนายกรัฐมนตรีดอม มินทอฟฟ์
หลังจากที่มารดาของคิม จ็อง-อิล เสียชีวิตไป คิม อิล-ซ็อง ผู้เป็นบิดาได้สมรสใหม่กับนางคิม ซ็อง-แอ (เกาหลี: ???) จากการสมรสครั้งใหม่ของบิดา คิม จ็อง-อิล มีน้องชายต่างมารดาอีกสองคน หนึ่งในนั้นคือ คิม พย็อง-อิล (เกาหลี: ??? ตั้งตามชื่อน้องชายที่จมน้ำเสียชีวิตของคิม จ็อง-อิล) นับแต่ ค.ศ. 1988 คิม พย็อง-อิลได้รับราชการในสถานทูตเกาหลีเหนือหลายแห่งในยุโรปและปัจจุบันเป็นเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำโปแลนด์ นักวิจารณ์ต่างประเทศสงสัยว่าคิม พยองอิลถูกบิดาส่งไปรับตำแหน่งห่างไกลเหล่านี้เพื่อป้องกันการแก่งแย่งอำนาจระหว่างบุตรชายทั้งสอง
กระทั่งการประชุมพรรคครั้งที่หกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1980 การควบคุมปฏิบัติการของพรรคของคิม จ็อง-อิลได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เขาได้รับตำแหน่งอาวุโสในโพลิตบูโร คณะกรรมาธิการทหารและเลขาธิการพรรค เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาประชาชนสูงสุดที่เจ็ดในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1982 ผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศเชื่อว่าเขาเป็นทายาทการเมืองของเกาหลีเหนือ
ถึงขณะนี้ คิมได้รับคำนำหน้า "ผู้นำอันเป็นที่รัก" (???? ???) รัฐบาลเริ่มสร้างลัทธิบูชาบุคคลรอบตัวเขาซึ่งลอกแบบมาจากบิดา "ผู้นำอันยิ่งใหญ่" คิม จ็อง-อิลได้รับการสรรเสริญจากสื่อเป็นประจำว่าเป็น "ผู้นำไร้ความกลัว" และ "ผู้สืบทอดผู้ยิ่งใหญ่ต่ออุดมการณ์ปฏิวัติ" เขาถือกำเนิดขึ้นเป็นบุคคลทรงอำนาจที่สุดรองจากบิดาเขาในเกาหลีเหนือ
วันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1991 คิมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพเกาหลีเหนือ เนื่องจากกองทัพเป็นรากฐานอำนาจที่แท้จริงในเกาหลีเหนือ นี่จึงเป็นก้าวสำคัญ รัฐมนตรีกลาโหม โอ จินวู หนึ่งในผู้ใต้บัญชาที่ภักดีที่สุดของคิม อิลซอง วางแผนการยอมรับของคิม จ็อง-อิลโดยกองทัพว่าเป็นผู้นำคนต่อไปของเกาหลีเหนือ แม้เขาจะไม่ได้รับราชการทหารก็ตาม อีกหนึ่งผู้สมัครในตำแหน่งผู้นำที่เป็นไปได้ นายกรัฐมนตรีคิม อิล (ไม่ได้เป็นเครือญาติ) ถูกถอดจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1976 ใน ค.ศ. 1992 คิม อิลซองแถลงต่อสาธารณะว่าบุตรชายเป็นผู้รับผิดชอบกิจการภายในทั้งหมดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน
ใน ค.ศ. 1992 การถ่ายทอดทางวิทยุกล่าวถึงเขาว่าเป็น "บิดาอันเป็นที่รัก" แทน "ผู้นำอันเป็นที่รัก" วันเกิดครบรอบ 50 ปีของเขาในเดือนกุมภาพันธ์เป็นโอกาสฉลองใหญ่ที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก ด้อยกว่าเพียงการเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีของคิม อิลซองในวันที่ 15 เมษายนปีเดียวกัน
ตามข้อมูลของผู้แปรพักตร์ ฮวาง จางยอบ ระบบรัฐบาลเกาหลีเหนือได้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและเป็นเอกาธิปไตยมากขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 ภายใต้คิม จ็อง-อิลกว่าที่เคยเป็นในสมัยบิดาของเขา ฮวางอธิบายตัวอย่างหนึ่งว่า แม้คิม อิลซองจะกำหนดให้รัฐมนตรีภักดีต่อเขา แต่เขายังมองหาคำแนะนำระหว่างการตัดสินใจ แต่คิม จ็อง-อิลต้องการการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์และข้อตกลงจากรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่พรรคโดยไม่ต้องการคำแนะนำหรือการประนีประนอม และเขามองความเห็นต่างเพียงเล็กน้อยใด ๆ จากความคิดของเขาว่าเป็นสัญญาณถึงความไม่ภักดี ตามข้อมูลของฮวาง คิม จ็อง-อิลกำหนดทุกเรื่องด้วยตัวเองแม้รายละเอียดเล็กน้อยของกิจการรัฐ เช่น ขนาดของบ้านสำหรับเลขาธิการพรรคและการส่งของขวัญไปให้ผู้ใต้บัญชาของเขา
จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 เกาหลีเหนือเริ่มประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซาร้ายแรง นโยบายจูเช (พึ่งพาตนเอง) ของคิม อิลซองตัดประเทศจากการค้าภายนอกเกือบทั้งหมด แม้แต่กับคู่ค้าแต่เดิม คือ สหภาพโซเวียตและจีน
เกาหลีใต้กล่าวโทษคิมว่าสั่งการเหตุระเบิดในย่างกุ้ง ประเทศพม่า ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1983 ซึ่งคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ที่ไปเยือน 17 คน รวมทั้งสมาชิกรัฐมนตรีสี่คน และอีกครั้งในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987 ซึ่งคร่าชีวิตทุกคน (115 คน)บนโคเรียนแอร์ เที่ยวบินที่ 858 เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ คิม ฮย็อน ฮุย สารภาพว่าวางระเบิดไว้ในหีบของ และว่า ปฏิบัติการถูกสั่งการโดยคิม จ็อง-อิลเป็นการส่วนตัว
ใน ค.ศ. 1992 เสียงของคิม จ็อง-อิลได้รับการถ่ายทอดในเกาหลีเหนือเป็นครั้งแรกระหว่างการเดินขบวนทหารสำหรับการครบรอบปีที่ 60 ของกองทัพประชาชนเกาหลีที่จัตุรัสคิม อิลซองในกรุงเปียงยาง ซึ่งคิม อิงซุงเข้าร่วมโดยมีคิม จ็อง-อิลยืนข้าง หลังการสุนทรพจน์ของคิม อิลซอง และการตรวจขบวนนั้น บุตรชายของเขาขยับไปยังไมโครโฟนที่อัฒจันทร์โดยตอบการรายงานของผู้ตรวจการขบวนและกล่าวง่าย ๆ ว่า "ทหารผู้กล้าแห่งกองทัพประชาชนเกาหลีจงเจริญ!" จากนั้นทุกคนที่เป็นผู้ฟังนั้นปรบมือและผู้เข้าร่วมขบวนที่พื้นที่จัตุรัส (ซึ่งรวมทหารผ่านศึกและนายทหารของกองทัพประชาชนเกาหลี) ตะโกน "หมื่น ๆ ปี" รวมสามครั้ง
วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 บิดาของคิม จ็อง-อิล คิม อิล-ซ็องถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 82 ปีจากอาการโรคหัวใจกำเริบ คิม จ็อง-อิลได้รับหน้าที่เป็นผู้นำในการจัดงานพิธีศพให้แก่บิดาของตน และปรับปรุงบูรณะวังสุริยะคึมซูซัน (Kumsusan Palace of the Sun) ให้เป็นที่พำนักสุดท้ายของคิม อิล-ซ็องผู้เป็นบิดา อย่างไรก็ดี คิม จ็อง-อิลใช้เวลาสามปีในการรวมอำนาจ เขารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคแรงงานเกาหลีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถือว่าเป็นผู้นำสูงสุดโดยปริยายของเกาหลีเหนือในขณะนั้น แต่ทว่าคิม จ็อง-อิล นั้นไม่ได้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากคิม อิล-ซ็องผู้เป็นบิดา การแก้ไขรัฐธรมนูญในค.ศ. 1998 โดยสภาประชาชนสูงสุด (Supreme People's Assembly) อันเป็นองค์กรนิติบัญญัติได้ยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดีออกจากรัฐธรรมนูญ และยกย่องอดีตประธนานาธิบดีคิม อิลซอง ให้เป็น "ประธานาธิบดีตลอดกาล" (Eternal President) ของสาธารณรัฐ อย่างไรก็ดี อาจแย้งได้ว่าเขาได้เป็นประมุขของประเทศเมื่อเขาเป็นผู้นำพรรคแรงงาน ในประเทศคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่ ผู้นำพรรคเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจที่สุดในประเทศอย่างเป็นทางการ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญค.ศ. 1998 ได้แบ่งอำนาจของประธานาธิบดีออกเป็นสามส่วน ประกอบกันเป็นสามเส้าของผู้นำฝ่ายบริหารของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้แก่ ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ (Chairman of National Defence Commission) คือ นายคิม จ็อง-อิลเอง นายกรัฐมนตรี คือ นายชเว ยอง-ริม (เกาหลี: ???) และประธานรัฐสภา คิม ยอง-นัม (เกาหลี: ???)แต่ละคนถืออำนาจในนามเทียบเท่ากับหนึ่งในสามของอำนาจประธานาธิบดีในระบบประธานาธิบดีในประเทศส่วนใหญ่ คิม จ็อง-อิลเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ชเว ยอง-ริมเป็นผู้นำรัฐบาล และคิม ยอง-นัมจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดี ในทางพฤตินัย คิม จ็อง-อิลดำเนินการควบคุมเด็ดขาดเหนือรัฐบาลและประเทศ แม้คิมจะไม่จำเป็นต้องเข้ารับการเลือกตั้งเพื่อรักษาตำแหน่ง เขาได้รับเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์ไปทำหน้าที่ในสภาประชาชนสูงสุดทุกห้าปี โดยเป็นผู้แทนเขตเลือกตั้งทหาร เนื่องจากหน้าที่ปัจจุบันในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพประชาชนเกาหลีและประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
เศรษฐกิจเกาหลีเหนือที่รัฐควบคุมประสบความยุ่งยากตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการผิด และนโยบายชูเช (เกาหลี: ??) ของประธานาธิบดีคิม อิล-ซ็อง ผู้เป็นบิดา อันเป็นนโยบายพึ่งพาตนเองโดยสมบูรณ์แบบ ตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอกทั้งทางด้านเศรษฐกิจแลการเมือง เมื่อการผลิตทางเกษตรกรรมประสบความล้มเหลวอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ ประกอบกับการบริหารจัดการที่ดินที่เลว จากเหตุนี้ ประกอบกับที่ดินที่สามารถเพาะปลูกได้เพียง 18% และการไม่สามารถนำเข้าสินค้าจำเป็นบำรุงอุตสาหกรรม ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนักในเกาหลีเหนือ นำไปสู่ทุพภิกขภัยเกาหลีเหนือ (North Korean Famine) ในช่วงค.ศ. 1994 ถึง ค.ศ. 1998 มีชาวเกาหลีเหนือเสียชีวิตจากความอดอยากร่วมกว่า 240,000 ถึง 3,500,000 คน คิม จ็อง-อิล เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำของเกาหลีเหนือในค.ศ. 1994 ต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและความอดอยาก รัฐบาลเกาหลีเหนือแก้ไขปัญหาอย่างขาดประสิทธิภาพ โดยสร้างระบบกระจายอาหารสาธารณะ (Public Distribution System) แบ่งอาหารให้ประชาชนในประเทศด้วยอัตราที่ไม่เท่าเทียม ชนชั้นแรงงานอุตสาหกรรมมีอภิสิทธิ์ได้รับอาหารมากกว่าประชาชนธรรมดา คนชราและเด็ก จนกระทั่งเมื่อสหประชาชาติรับทราบถึงปัญหาทุกภิกขภัยของเกาหลีเหนือจึงมีการบริจาคอาหารเข้าช่วยเหลือประชาชนเกาหลีเหนือ มีแหล่งที่มาจากประเทศเกาหลีใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
แม้ว่าประเทศและประชาชนจะประสบปัญหาขาดแคลนอย่างหนักในขณะนั้น ค.ศ. 1995 คิม จ็อง-อิล ได้ประกาศนโยบายซ็องกุน (เกาหลี: ??) หรือ"ทหารมาก่อน" (Military First) คือนโยบายการใช้ทรัพยากรไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีความก้าวหน้าทางการทหารเป็นอันดับแรก เพื่อเป็นการป้องกันประเทศเกาหลีเหนือจากการคุกคามของชาติตะวันตก ในระดับชาติ นโยบายนี้ได้มีอัตราเติบโตเป็นบวกสำหรับประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1996 และการนำ "การปฏิบัติเศรษฐกิจตลาดหลักเขตประเภทสังคมนิยม" ใน ค.ศ. 2002 ยังประคับประคองให้เกาหลีเหนือไม่ล่มจมแม้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหารจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ในความตื่นตัวจากเศรษฐกิจเสียหายรุนแรงในคริสต์ทศวรรษ 1990 รัฐบาลเริ่มอนุมัติกิจกรรมการแลกเปลี่ยนและการค้าขนาดเล็กอย่างเป็นทางการ ดังที่แดเนียล สไนเดอร์ รองผู้อำนวยการการวิจัยที่ศูนย์วิจัยเอเชีย-แปซิฟิก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด การดำเนินการอันเป็นทุนนิยมนี้ "ค่อนข้างจำกัด แต่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ปัจจุบันมีตลาดที่น่าสังเกตซึ่งสร้างลักษณะคล้ายกันของระบบตลาดเสรี" ใน ค.ศ. 2002 คิม จ็อง-อิลประกาศว่า "เงินควรสามารถวัดมูลค่าของโภคภัณฑ์ทั้งหมดได้" ท่าทีปฏิรูปเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือในสมัยของ คิม จ็อง-อิล มีลักษณะคล้ายกับการปฏิรูปเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนของเติ้ง เสี่ยวผิง ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 2006 คิม จ็อง-อิลได้กล่าวแสดงความชื่นชมต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีน
คิม จ็อง-อิลเป็นศูนย์กลางแห่งลัทธิบูชาบุคคลประณีตซึ่งรับต่อมาจากบิดาของเขาและผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี คิม อิลซอง ผู้แปรพักตร์ได้รับการอ้างคำพูดว่า โรงเรียนเกาหลีเหนือยกทั้งพ่อและลูกเหมือนเทพเจ้า เขามักเป็นศูนย์กลางความสนใจตลอดชีวิตปกติในเกาหลีเหนือ ในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 60 ปี (ตามวันเกิดอย่างเป็นทางการ) มีการเฉลิมฉลองจำนวนมากทั่วประเทศในโอกาสนี้ ชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากเชื่อว่าเขามีความสามารถ "เวทมนตร์" ในการ "ควบคุมลมฟ้าอากาศ" ตามอารมณ์ของเขา ใน ค.ศ. 2010 สื่อเกาหลีเหนือรายงานว่า เครื่องแต่งกายอันโดดเด่นของคิมได้เป็นกระแสแฟชั่นทั่วโลก
มุมมองหนึ่งคือว่า ลัทธิบูชาบุคคลของคิม จ็อง-อิลนั้นเป็นเพราะความเคารพคิม อิลซองหรือความกลัวการถูกลงโทษที่ไม่แสดงความเคารพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สื่อและแหล่งข่าวรัฐบาลนอกประเทศมักสนับสนุนมุมมองนี้ ขณะที่แหล่งข่าวเกาหลีเหนือยืนยันว่าเป็นการบูชาวีรบุรุษอย่างแท้จริง เพลง "ไม่มีมาตุภูมิหากไร้ซึ่งท่าน" ร้องโดยวงประสานเสียงของรัฐเกาหลีเหนือ เขียนขึ้นให้คิมโดยเฉพาะใน ค.ศ. 1992 และมักถ่ายทอดทางวิทยุบ่อยครั้งและจากเครื่องกระจายเสียงบนถนนแห่งเปียงยาง
ในสมัยการปกครองของคิม จ็อง-อิล ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีสองประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก อันเนื่องมาจากกระประกาศใช้นโยบาย "ตะวันฉายแสง" (Sunshine Policy; เกาหลี: ????) ของประธานาธิบดี คิม แดจุง แห่งเกาหลีใต้ในค.ศ. 1998 เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าประเทศเกาหลีเหนือและใต้ โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่เกาหลีเหนือ และงดเว้นการเผชิญหน้าทางการทหารระหว่างสองประเทศ หรือความพยายามใดๆที่จะรวมปรเทศเกาหลีด้วยวิธีการทางทหาร ผู้นำทั้งสองประเทศได้แก่ นายคิม จ็อง-อิลแห่งเกาหลีเหนือ และคิม แด-จุง แห่งเกาหลีใต้ พบปะร่วมประชุมสัมมนาที่นครเปียงยางในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2000 เพื่อหารือความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อันเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์เกาหลี เนื่องจากในครั้งนั้นเป็นการพบปะกันครั้งแรกของผู้นำประเทศเกาหลีทั้งสองนับตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลี แต่ทว่าการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรและนโยบายตะวันฉายแสงของนายคิมแดจุงได้รับการต่อต้านจากชาวเกาหลีใต้
รัฐบาลเกาหลีใต้ในสมัยต่อมาของประธานาธิบดี โน มู-ฮย็อน ได้พยายามที่จะสานต่อนโยบายตะวันฉายแสง โดยมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือเขตปกครองพิเศษขึ้นในเกาหลีเหนือสำหรับการลงทุนและการท่องเที่ยวของชาวเกาหลีใต้ ได้แก่ เขตท่องเที่ยวเขาคึมกัง (Mount K?mgang Tourist Region) จังหวัดคังวอน ก่อตั้งเมื่อค.ศ. 2002 ประธานาธิบดี โน มู-ฮย็อน อนุญาตให้บริษัทเกาหลีใต้เริ่มต้นการลงทุนในเกาหลีเหนือ คิม จ็อง-อิลประกาศแผนการนำเข้าและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ยังด้อยพัฒนาของเกาหลีเหนือ ด้วยผลจากนโยบายใหม่นี้ เขตอุตสาหกรรมแคซอง (Kaes?ng Industrial Region) ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 2003 ที่เมืองแคซองห่างไปทางเหนือของเขตปลอดทหารเกาหลีไม่ไกลนัก โดยมีบริษัทเกาหลีใต้วางแผนเข้าร่วม 250 บริษัท และว่าจ้างชาวเกาหลีเหนือ 100,000 คน ภายใน ค.ศ. 2007 อย่างไรก็ดี จนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 เขตยังมีเพียง 21 บริษัท และว่าจ้างคนงานเกาหลีเหนือ 12,000 คน จนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 เขตได้ว่าจ้างชาวเกาหลีเหนือกว่า 40,000 คน นอกจากนี้เกาหลียังได้ทดลองจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นในลักษณะเดียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน ขึ้นที่เมืองชินอีจู (Sin?iju Special Administrative Region) ที่พรมแดนติดกับประเทศจีน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากประเทศจีน
รัฐบาลเกาหลีมีความพยายามที่จะพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อให้ในด้านการทหารและพลังงานมาตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีคิม อิล-ซ็อง โดยด้วยความช่วยเหลือของสหภาพโซเวียตมีการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตัวแรกขึ้นที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ย็องบย็อน (Y?ngby?n Nuclear Scientific Research Center) ในค.ศ. 1963 ในค.ศ. 1994 รัฐบาลเกาหลีของนายคิม จ็อง-อิล บรรลุข้อตกลงในการงดเว้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และเกาหลีเหนือได้เข้าเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Proliferation Treaty; NPT) แลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือในการผลิตเครื่องปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์สองเครื่อง แต่ทว่าในค.ศ. 2002 รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมรับว่าได้กำลังผลิตอาวุธนิวเคลียร์มาโดยตลอดแม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1994 ซึ่งรัฐบาลของคิม จ็อง-อิล กล่าวว่าการผลิตลับจำเป็นสำหรับจุดประสงค์ด้านความมั่นคง โดยอ้างการมีอยู่ของอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาในเกาหลีใต้และความตึงเครียดรอบใหม่กับสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้ซึ่งได้กล่าวว่าเกาหลีเหนือเป็นหนึ่งใน "อักษะแห่งความชั่วร้าย" (Axis of Evil) เกาหลีเหนือจึงถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาในค.ศ. 2003 นานาชาติประกอบด้วยห้าประเทศได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสหพันธรัฐรัสเซีย เข้าเปิดโต๊ะเจรจากับรัฐบาลเกาหลีเหนือเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ยอมละทิ้งการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ เรียกว่า การเจรจาหกฝ่าย (Six-party talks) แต่ไม่เป็นผลนัก
วันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2006 รัฐบาลเกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินเป็นครั้งแรก และในปีต่อมาเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 สำนักข่าวกลางของเกาหลีเหนือประกาศว่า เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการทดลองนิวเคลียร์ใต้ดิน การเจรจาหกฝ่ายรอบที่หกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 เกาหลีเหนือยินยอมที่จะยุติการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แต่ไม่ยอมให้ผู้ตรวจสอบจาก ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency; IAEA) เข้าตรวจสอบ ในเดือนเมษายนค.ศ. 2009 รัฐบาลเกาหลีทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางเสียงประณามจากนานาชาติ
ความพยายามที่จะพัฒนาอาวุธสงครามนิวเคลียร์ ทำให้ทศวรรษแห่งความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีระหว่างรัฐบาลเกาหลีทั้งสองเป็นอันต้องสิ้นสุดลง ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 เกิดยุทธการแทชอง (Battle of Daecheong) เป็นการปะทะกันระหว่างเรือรบของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และเหตุการณ์จมเรือชอนัน (ROKS Cheonan sinking) เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 ทำให้มีลูกเรือชาวเกาหลีใต้เสียชีวิต
คิม จ็อง-อิล เริ่มความสัมพันธ์กับ ซ็อง ฮเย-ริม (เกาหลี: ???) ดาราชื่อดังของเกาหลีเหนือเมื่อค.ศ. 1968 แม้ว่านางซ็อง ฮเย-ริม จะมีสามีอยู่แล้วก็ตาม นางซ็อง ฮเย-ริม ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกแก่คิม จ็อง-อิล เมื่อค.ศ. 1970 คือ คิม จ็อง-นัม (เกาหลี: ???) แต่ทว่าคิม จ็อง-อิล ได้ปิดบังความสัมพันธ์กับ ซ็อง ฮเย-ริม และบุตรชายคนโตจากคิม อิล-ซ็องผู้เป็นบิดา และส่งบุตรชายของตนไปฝากเลี้ยงไว้กับนางซ็อง ฮเย-รัง (เกาหลี: ???) ผู้เป็นพี่สาวของซ็อง ฮเย-ริม โดยที่คิม จ็อง-อิลไม่อนุญาตให้บุตรชายของตนได้รับการศึกษาที่โรงเรียนเนื่องจากเกรงว่าความสัมพันธ์จะถูกเปิดเผย
คิม จ็อง-อิลสมรสกับนางคิม ยอง-ซุก (เกาหลี: ???) เมื่อค.ศ. 1974 ซึ่งได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนโตคนแรกแก่คิม จ็อง-อิล คือ คิม ซอล-ซ็ง (เกาหลี: ???) ในปีต่อมาค.ศ. 1975 คิม อิล-ซ็องผู้เป็นบิดาล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของคิม จ็อง-อิล บุตรชายกับนางซ็อง ฮเย-ริม แม้ว่าซ็อง ฮเย-ริม จะไม่ได้รับสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องแต่คิม จ็อง-นัม นั้นได้รับการยอมรับในฐานะบุตรชายของคิม จ็อง-อิล
จากนั้นคิม จ็อง-อิล ก็มีความสัมพันธ์กับภรรยานอกสมรสคนที่สองคือ นางโค ย็อง-ฮี (เกาหลี: ???) ซึ่งให้กำเนิดบุตรชายคือ คิม จ็อง-ชอล (เกาหลี: ???) เมื่อค.ศ. 1981 และคิม จ็อง-อึน (เกาหลี: ???) ในค.ศ. 1983 เมื่อคิม จ็อง-อิล ได้ขึ้นเป็นผู้นำของเกาหลีเหนือแล้ว ได้แต่งตั้งให้นางโค ย็อง-ฮีเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งและหมายมั่นที่จะผลักดันให้ คิม จ็อง-นัม บุตรชายคนโตได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำเกาหลีเหนือต่อไป โดยคิม จ็อง-อิลแต่งตั้งให้บุตรชายคิม จ็อง-นัม ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลเมื่อค.ศ. 1998 เพื่อเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์ที่จะให้คิม จ็อง-นัมเป็นผู้สืบทอดผู้นำเกาหลีเหนือ
แต่ทว่าเนื่องจากคิม จ็อง-นัมไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเกาหลีแต่ได้รับการศึกษาอย่างลับๆที่บ้านของนางซ็อง ฮเย-รัง ผู้ซึ่งได้หลบหนีจากเกาหลีเหนือออกไปเมื่อค.ศ. 1982 ทำให้คิม จ็อง-นัมนั้นมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก ในค.ศ. 2001 คิม จ็อง-นัม ถูกจับกุมตัวที่ท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะ ประเทศญี่ปุ่น ขณะกำลังลักลอบเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วยการปลอมตัวเป็นชาวจีนและใช้พาสปอร์ตปลอมของสาธารณรัฐโดมินิกัน เหตุการณ์นี้ทำให้คิม จ็อง-นัม สูญเสียความนิยมชมชอบจากคิม จ็อง-อิลผู้เป็นบิดา นำไปสู่การเปลี่ยนตัวผู้สืบทอดตำแหน่งไปเป็นบุตรชายคนเล็ก คือ คิม จ็อง-อึน ในที่สุด
สตรีหมายเลขหนึ่งโค ย็อง-ฮี เสียชีวิตในปีค.ศ. 2004 จากนั้นถึงเริ่มปรากฏนาง คิม อ็ก (เกาหลี: ??) เลขานุการส่วนตัวของนายคิม จ็อง-อิล ขึ้นมาเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ ตราบจนการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม จ็อง-อิล ในปีค.ศ. 2011
มีการรายงานความเจ็บป่วยของคิม จ็อง-อิล มาตั้งแต่ค.ศ. 2008 เนื่องจากในเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 มีการวิ่งขบวนคบเพลิงของงานกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนผ่านกรุงเปียงยางทว่าคิม จ็อง-อิล กลับไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนในงานนั้น ทำให้เป็นที่คาดการณ์ว่าคิม จ็อง-อิล อาจจะกำลังประสบปัญหาทางสุขภาพอย่างหนัก ทว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือได้ปฏิเสธการคาดการณ์ที่ว่าคิม จ็อง-อิลนั้นกำลังมีสุขภาพที่ย่ำแย่ ศาสตราจารย์โทะชิมิซึ ชิเงะมุระ แห่งมหาวิทยาลัยวะเซะดะ กล่าวในหนังสือพิมพ์ชูคัง เง็นไดของประเทศญี่ปุ่นว่า คิม จ็อง-อิล นั้นอาจถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วตั้งแต่ ค.ศ. 2003 เนื่องจากโรคเบาหวานแต่ทางการรัฐบาลเกาหลีเหนือจัดตัวแทนขึ้นมาสวมรอย โดยสังเกตจากลักษณะการกล่าวสุนทรพจน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของคิม จ็อง-อิล มีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่คิม จ็อง-อิล ล้มป่วยจนไม่สามารถบริหารประเทศได้นั้น ทำให้ผู้นำทหารระดับสูงขึ้นมามีอำนาจในการบริหารประเทศมากขึ้น เป็นผลให้นโยบายที่ผ่อนปรนของนายคิม จ็อง-อิลต่อโลกตะวันตกมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องวิกฤตการณ์นิวเคลียร์
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ได้รับรายงานว่านายคิม จ็อง-อิล ล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและได้รับกายภาพบำบัด ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 รัฐบาลเกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพผู้นำของตนขณะกำลังตรวจกองทัพเพื่อเป็นการตอบโต้ข่าวลือการป่วยของคิม จ็อง-อิล แม้ว่านานาชาติจะตั้งข้อกังขาถึงความเท็จจริงของรูปเหล่านั้น ในขณะที่สำนักข่าวญี่ปุ่นรายงานว่า คิม จ็อง-อิล ประสบโรคหลอดเลือดสมองเป็นครั้งที่สองในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 ทำให้มีอาการอ่อนแรงแขนขาข้างซ้ายและพูดไม่ชัด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 รัฐบาลเกาหลีเหนือเผยแพร่ภาพเคลื่อนไหวคิม จ็อง-อิลกำลังตรวจโรงงานเพื่อเป็นการสยบข่าวลืออีกครั้ง และเดือนเมษายนในปีนั้นคิม จ็อง-อิลได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง
เพราะคิม จ็อง-นัม บุตรชายคนโต ไม่เป็นที่โปรดปรานของคิม จ็อง-อิลผู้เป็นบิดาอีกต่อไปแล้ว ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 มีการรายงานว่าคิม จ็อง-อิล เลือกบุตรชายคนสุดท้องของตนคือ คิม จ็อง-อึน ให้เป็นทายาทปกครองเกาหลีเหนือต่อไป ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 นายคิม จ็อง-อิล เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ โดยพำนักที่เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง และอีกครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 พร้อมกับบุตรชาย คิม จ็อง-อึน ทำให้นานาชาติมั่นใจว่าคิม จ็อง-อึน คือผู้สืบทอดของคิม จ็อง-อิล หลายฝ่ายมีความเห็นว่าการเยือนประเทศจีนของคิม จ็อง-อิล แสดงให้เห็นว่าสุขภาพของเขาฟื้นฟูดีขึ้น คิม จ็อง-อิลเยือนประเทศจีนเป็นครั้งสุดท้ายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และพบปะกับดมีตรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
ทว่ามีการรายงานข่าวทางโทรทัศน์ในเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ว่า คิม จ็อง-อิล ถึงแก่อสัญกรรมแล้วเมื่อสองวันก่อน (17 ธันวาคม) ด้วยสาเหตุทำงานมากเกินไป จนทำให้ทั้งทางร่างกายและจิตใจรับไม่ไหว คิม จ็อง-อิล ถึงแก่อสัญกรรมที่กรุงเปียงยาง มีการไว้ทุกข์เป็นเวลาสองสัปดาห์และพิธีศพมีขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม ศพของนายคิม จ็อง-อิล ถูกตั้งไว้ที่วังสุริยะคึมซูซัน เช่นเดียวกับคิม อิล-ซ็อง บิดา